ความแตกต่างระหว่างกล้องสำรวจที่ใช้ปริซึมกับกล้องที่ไม่ใช้ปริซึม

ความแตกต่างระหว่างกล้องสำรวจที่ใช้ปริซึมกับกล้องที่ไม่ใช้ปริซึม
กล้องสำรวจ (Total Station) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามวิธีการวัดระยะ ได้แก่ กล้องที่ใช้ปริซึม (Prism Mode) และ กล้องที่ไม่ใช้ปริซึม (Non-Prism Mode) ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน


1. กล้องสำรวจที่ใช้ปริซึม (Prism Mode)
หลักการทำงาน
ใช้ ปริซึม (Prism) เป็นตัวสะท้อนสัญญาณจากกล้องสำรวจ Total Station
กล้องจะยิงลำแสงเลเซอร์ไปที่ปริซึม และปริซึมจะสะท้อนลำแสงกลับมาที่กล้อง
กล้องคำนวณระยะทางจากเวลาที่ลำแสงเดินทางไป-กลับ
 ข้อดี
✅ วัดระยะได้ไกล (มากกว่า 1,000 เมตร ขึ้นอยู่กับรุ่น)
✅ มีความแม่นยำสูง เหมาะกับงานสำรวจที่ต้องการค่าความละเอียดสูง
✅ ใช้ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น พื้นที่มีพืชคลุม
✅ รองรับการใช้งานแบบอัตโนมัติ (Auto Tracking) บางรุ่นสามารถติดตามปริซึมอัตโนมัติ

ข้อเสีย
 ต้องมี ผู้ช่วยถือปริซึม (หรือใช้ขาตั้งปริซึม)
 ไม่สามารถวัดวัตถุที่ไม่มีปริซึมได้


2. กล้องสำรวจที่ไม่ใช้ปริซึม (Non-Prism Mode)
หลักการทำงาน
ใช้ เทคโนโลยี EDM (Electronic Distance Measurement) ยิงแสงเลเซอร์ไปที่พื้นผิวของวัตถุโดยตรง
กล้องจะคำนวณระยะทางจากแสงสะท้อนกลับ โดยไม่ต้องใช้ปริซึม
ข้อดี
✅ ไม่ต้องใช้ผู้ช่วยถือปริซึม ทำให้สะดวกในการใช้งานคนเดียว
✅ สามารถวัดระยะจากวัตถุที่ไม่มีปริซึม เช่น กำแพง อาคาร เสาไฟ สะพาน
✅ ใช้ได้ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเข้าถึงเป้าหมายได้ เช่น วัดจุดสูงบนตึก หรือพื้นที่อันตราย

ข้อเสีย
ระยะทางการวัดสั้นกว่า (ปกติ 200-800 เมตร ขึ้นอยู่กับรุ่น)
ความแม่นยำน้อยกว่าโหมดปริซึม เพราะพื้นผิวของวัตถุอาจมีค่าการสะท้อนแสงที่แตกต่างกัน
วัดได้ลำบากในพื้นที่ที่มีแสงแดดจ้า หรือวัสดุสะท้อนแสงต่ำ

สรุป: เลือกใช้แบบไหนดี?
✅ ใช้ปริซึม (Prism Mode) → ถ้าต้องการ ความแม่นยำสูง วัดระยะไกล และใช้งานกับ Total Station อัตโนมัติ
✅ ไม่ใช้ปริซึม (Non-Prism Mode) → ถ้าต้องการ ความสะดวก วัดวัตถุทั่วไป และทำงานคนเดียว

หากต้องการความยืดหยุ่น กล้อง Total Station รุ่นใหม่ส่วนใหญ่รองรับ ทั้ง 2 โหมด สามารถเลือกใช้ตามสถานการณ์ได้!